ในโลกการลงทุน “เป้าหมาย” คือสิ่งที่ทุกคนต้องมี เพื่อเป็นจุดตั้งต้นในการออกแบบแผนการลงทุนที่เป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้เราบรรลุเป้าหมายการเงินในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่ง การลงทุนเพื่อนำเงินไปต่อยอด หรือการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกษียณ ซึ่ง “ผลตอบแทน” เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกว่าการลงทุนของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด และมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจนบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้แค่ไหน
เมื่อ ROI ไม่เพียงพอในการตัดสินใจลงทุน
การประเมินว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ วิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้และเข้าใจง่าย คือการคำนวณหา ROI หรือผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on investment) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างกำไรการลงทุนเมื่อเทียบกับต้นทุนทั้งหมด โดยผลลัพธ์จะแสดงมูลค่าผลตอบแทนกำไรที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงจากเงินต้นในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์
สูตรคำนวณ ROI
ROI = (ผลตอบแทนสุทธิการลงทุน - ต้นทุนการลงทุน) × 100% / ต้นทุนการลงทุน
ตัวอย่าง: นักลงทุนซื้อสินทรัพย์ A ราคา 10,000 บาท ต่อมาขายไปในราคา 15,000 บาท
ROI = (15,000 - 10,000) × 100% / 10,000
= 50%
ดังนั้น การลงทุนดังกล่าวได้กำไรประมาณ 50% อย่างไรก็ตาม การคำนวณ ROI เป็นเพียงการเปรียบเทียบให้เห็นผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเงินต้นคร่าวๆ เท่านั้น
ข้อจำกัดของ ROI ที่ไม่ควรมองข้าม
- เป็นการคิดผลตอบแทนแบบรวมๆ ณ จุดเวลาหนึ่ง โดยไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาการลงทุนทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบการลงทุนที่มีระยะเวลาต่างกันได้อย่างเหมาะสม
- เปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนได้เฉพาะกรณีที่ใช้จำนวนเงินลงทุนและระยะเวลาการลงทุนเท่ากัน เท่านั้น
- ไม่สามารถประเมินผลตอบแทนตามมูลค่าเงินที่เปลี่ยนไปตามเวลาได้ ทำให้ไม่สะท้อนค่าเสียโอกาสที่แท้จริง
- ไม่คำนึงถึงเรื่องกระแสเงินสดระหว่างทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการลงทุนในภาพรวม
จะเห็นได้ว่าการคำนวณแบบ ROI นั้นมีข้อจำกัดหลายประการ ซึ่งอาจทำให้เรามองเห็นผลตอบแทนการลงทุนของสินทรัพย์ในภาพรวมที่สูง ดูเหมือนได้กำไรมากเมื่อเทียบกับต้นทุน จนอาจมองข้ามค่าเสียโอกาสระหว่างทาง เพราะไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาการลงทุนและกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา
IRR: เครื่องมือตัดสินใจที่ลึกซึ้งกว่า
การรู้อัตราผลตอบแทนต่อปีที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน หรือ Internal Rate of Return (IRR) จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการลงทุน
IRR คืออะไร และสำคัญกับการลงทุนอย่างไร
IRR คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนตลอดระยะเวลาโครงการ โดยคำนึงถึงมูลค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) ซึ่งจะทำให้เราเห็นโอกาสและความเสี่ยงจากการลงทุนในระยะยาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่ถูกหลอกด้วยตัวเลขผลตอบแทนภาพรวมที่อาจสูงแต่ใช้เวลานานเกินไป
IRR เป็นเครื่องมือวัดความคุ้มค่าของการลงทุนหรือโครงการโดยคำนวณจากกระแสเงินสดทั้งขาเข้าและขาออกตลอดอายุของการลงทุน ข้อดีอีกประการของ IRR คือ สามารถเปรียบเทียบการลงทุนที่มีขนาดเงินลงทุนและระยะเวลาต่างกันได้ ทำให้เห็นภาพรวมผลตอบแทนตลอดระยะเวลาอายุการลงทุนได้อย่างครบถ้วน
วิธีคำนวณและการตีความ IRR
หลักการคำนวณ IRR คือ การหาอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value: NPV) ของการลงทุนเท่ากับศูนย์ พูดให้เข้าใจง่ายคือ อัตราผลตอบแทนที่ทำให้เงินลงทุนเริ่มต้นเท่ากับผลรวมของกระแสเงินสดในอนาคตที่คิดลดมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน
สูตร IRR คือ:
NPV = CF₀ + CF₁/(1+r)¹ + CF₂/(1+r)² + ... + CFₙ/(1+r)ⁿ = 0
โดยที่:
- CF คือ กระแสเงินสด (Cash Flow) ในแต่ละงวด
- r คือ IRR ที่ต้องการคำนวณหา
- n คือ จำนวนงวดเวลาทั้งหมด
สำหรับการตีความค่า IRR โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งมีค่าสูงยิ่งดี แต่ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย:
- IRR สูงกว่า เงินต้นการลงทุนหรือต้นทุนของโครงการ แสดงว่า การลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าต้นทุน ซึ่งน่าสนใจลงทุน อย่างไรก็ตาม หากค่า IRR สูงเกินไป เช่น เกิน 30% อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแบบจำลองในการคำนวณอาจมีข้อผิดพลาด เช่น การประเมินเงินลงทุนในโครงการน้อยเกินไป หรือประเมินกระแสเงินสดรับสุทธิมากเกินไป
- IRR ต่ำกว่า เงินต้นการลงทุนหรือต้นทุนของโครงการ แสดงว่า การลงทุนนั้นอาจติดลบหรือขาดทุนเมื่อเทียบกับต้นทุนของเงินที่นำมาลงทุน ซึ่งสะท้อนว่าอาจมีการใช้เงินลงทุนมากเกินไปหรือโครงการไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ตามที่คาดหวัง
IRR นำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนอย่างไร
ลองมาดูตัวอย่างการใช้ IRR เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน:
ตัวอย่าง: ลงทุนเปิดร้านขายไก่ทอด 1,000,000 บาท และคาดว่าภายใน 5 ปี จะมีกระแสเงินสดรับสุทธิดังนี้
- ปีที่ 1: กระแสเงินสดรับสุทธิ 200,000 บาท
- ปีที่ 2: กระแสเงินสดรับสุทธิ 400,000 บาท
- ปีที่ 3: กระแสเงินสดรับสุทธิ 300,000 บาท
- ปีที่ 4: กระแสเงินสดรับสุทธิ 200,000 บาท
- ปีที่ 5: กระแสเงินสดรับสุทธิ 300,000 บาท
หากคำนวณแบบง่ายๆ ตามความเข้าใจพื้นฐาน จะเห็นว่า เมื่อผ่านไป 5 ปี จะได้เงินกลับมารวม 1,400,000 บาท คิดเป็นกำไร 400,000 บาท หรือประมาณ 40% ซึ่งหลายคนอาจมองว่าไม่ค่อยคุ้มค่า เพราะใช้เวลานานถึง 5 ปี
แต่เมื่อเราคำนวณด้วยสูตร IRR:
-1,000,000 + 200,000/(1+r)¹ + 400,000/(1+r)² + 300,000/(1+r)³ + 200,000/(1+r)⁴ + 300,000/(1+r)⁵ = 0
จะพบว่า อัตราผลตอบแทนต่อปี หรือ IRR จะอยู่ที่ประมาณ 12.33% ซึ่งเป็นอัตราที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า หรือการฝากเงินในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่ามาก
ประโยชน์ของ IRR ที่นักลงทุนควรรู้
- เปรียบเทียบการลงทุนที่แตกต่างกันได้ IRR ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบโครงการหรือการลงทุนที่มีขนาด ระยะเวลา และรูปแบบกระแสเงินสดต่างกันได้อย่างเป็นธรรม
- คำนึงถึงมูลค่าของเงินตามเวลา IRR ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่ได้รับกระแสเงินสด ซึ่งสะท้อนความจริงที่ว่าเงิน 1 บาทในวันนี้มีค่ามากกว่าเงิน 1 บาทในอนาคต
- ช่วยเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินทุน สามารถเปรียบเทียบ IRR กับต้นทุนเงินทุน (Cost of Capital) เพื่อประเมินว่าการลงทุนคุ้มค่าหรือไม่
- สะท้อนระยะเวลาคืนทุนที่แท้จริง IRR ช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับระยะเวลาที่จะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่ากับเงินลงทุน
- ประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้น การวิเคราะห์ด้วย IRR ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงของการลงทุนได้ละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวัง
ข้อควรระวังในการใช้ IRR
แม้ IRR จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้:
- IRR อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดเมื่อกระแสเงินสดไม่ปกติ ในกรณีที่กระแสเงินสดสลับระหว่างบวกและลบหลายครั้ง อาจทำให้มีค่า IRR หลายค่า ซึ่งทำให้การตีความยากขึ้น
- ไม่คำนึงถึงขนาดของการลงทุน IRR เป็นอัตราส่วน ไม่ได้บอกขนาดของกำไรในเชิงมูลค่า ดังนั้น โครงการที่มี IRR สูงแต่ขนาดเล็กอาจให้ผลกำไรรวมน้อยกว่าโครงการที่มี IRR ต่ำกว่าแต่ขนาดใหญ่กว่า
- สมมติฐานการลงทุนซ้ำที่ไม่สมจริง IRR มีสมมติฐานว่ากระแสเงินสดระหว่างทางสามารถนำไปลงทุนซ้ำด้วยอัตราผลตอบแทนเท่ากับ IRR ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่สามารถทำได้
- การคำนวณที่ซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น การคำนวณ IRR ต้องอาศัยการคำนวณเชิงซับซ้อนหรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย ทำให้ผู้เริ่มต้นอาจเข้าถึงได้ยาก
บทสรุป: รู้เขา รู้เรา รู้ IRR รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้วัดเพียงแค่ผลตอบแทนรวมเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงระยะเวลา ความเสี่ยง และมูลค่าของเงินตามเวลา ซึ่ง IRR เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินและเปรียบเทียบการลงทุนได้อย่างรอบด้านมากขึ้น
การเรียนรู้และเข้าใจ IRR จะช่วยให้นักลงทุนรู้เท่าทันกับดักของผลตอบแทนที่ดูเหมือนสูงแต่อาจไม่คุ้มค่าเมื่อพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ทำให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อาจรู้สึกว่า IRR เป็นเรื่องยากเกินไป สามารถเริ่มต้นด้วยการใช้แอปพลิเคชันหรือเครื่องมือทางการเงินที่มีฟังก์ชันคำนวณ IRR อยู่แล้ว เช่น Microsoft Excel หรือแอปพลิเคชันวางแผนการเงินต่างๆ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างรอบคอบและมีหลักการมากขึ้น
ในท้ายที่สุด การใช้ IRR ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ จะช่วยให้เราสามารถประเมินการลงทุนได้ครบถ้วนรอบด้าน และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงและเวลาที่เสียไปอย่างแท้จริง