ไขความรู้เรื่องเส้นเสียง: ทำไมเสียงของเราจึงเปลี่ยนไปเมื่อมีอายุมากขึ้น?

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่าเสียงของเราเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา? นี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่มีวิธีการบางอย่างที่สามารถช่วยรักษาคุณภาพเสียงของเราไว้ได้ บทความนี้จะพาคุณไปไขความลับเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของเสียงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น

เส้นเสียงคืออะไร?

เส้นเสียง (vocal cords) เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างเสียงให้กับมนุษย์ โดยตั้งอยู่ภายในกล่องเสียง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ เมื่ออากาศผ่านจากลำคอเข้าสู่ปอด อากาศจะผ่านกล่องเสียงและทำให้เส้นเสียงสั่นสะเทือน จนเกิดเป็นเสียงออกมา

เส้นเสียงประกอบด้วยสามส่วนหลักๆ ได้แก่:

  1. กล้ามเนื้อสายเสียง (Vocalis muscle)
  2. เอ็นเสียง (Vocal ligament)
  3. เยื่อเมือก (Mucous membrane) ที่ทำหน้าที่คลุมเส้นเสียงเอาไว้ ช่วยให้ผิวของเส้นเสียงชุ่มชื้น และปกป้องจากความเสียหาย

ในกล่องเสียงมีกล้ามเนื้อประมาณ 17 ชิ้น ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งและความตึงของสายเสียงได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเสียงในหลากหลายลักษณะ

การเปลี่ยนแปลงของเส้นเสียงตามช่วงอายุ

วัยเด็กถึงวัยรุ่น

ในช่วงก่อนวัยรุ่น เส้นเสียงของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าสู่วัยแรกรุ่น ฮอร์โมนเริ่มส่งผลต่อร่างกาย ทำให้โครงสร้างของกล่องเสียงเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในเด็กผู้ชายจะสังเกตเห็น “ลูกกระเดือก” ที่เด่นชัดขึ้น รวมถึงความยาวของเส้นเสียงที่เพิ่มขึ้นด้วย

หลังจากผ่านช่วงวัยรุ่น เส้นเสียงในผู้ชายจะมีความยาวประมาณ 16 มิลลิเมตร ในขณะที่เส้นเสียงของผู้หญิงจะยาวประมาณ 10 มิลลิเมตร นอกจากนี้ เส้นเสียงของผู้หญิงจะบางลงประมาณ 20-30% ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงโดยทั่วไปจึงมักมีเสียงสูงกว่าผู้ชาย

วัยผู้ใหญ่

แม้หลังจากผ่านช่วงวัยรุ่นแล้ว ฮอร์โมนก็ยังส่งผลต่อเสียงของเราได้ โดยเฉพาะในผู้หญิง เสียงอาจแตกต่างกันไปตามวงรอบของประจำเดือน ซึ่งคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดมักเกิดขึ้นในช่วงตกไข่ เนื่องจากต่อมจะผลิตเมือกออกมามากที่สุดในช่วงนี้ ทำให้สายเสียงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานวิจัยพบว่าผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพเสียงน้อยกว่า เนื่องจากยาคุมกำเนิดยับยั้งการตกไข่ ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงก่อนมีประจำเดือนจะส่งผลให้สายเสียงแข็งขึ้น ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าทำไมในช่วงทศวรรษที่ 1960 นักร้องเพลงโอเปร่าจึงได้รับวันหยุดพักหรือ “เกรซเดย์ส” (grace days) เพื่อป้องกันความเสียหายต่อเส้นเสียง

วัยสูงอายุ

เช่นเดียวกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เส้นเสียงก็มีการเสื่อมสภาพไปตามวัย แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่เป็นที่สังเกตสำหรับทุกคน

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กล่องเสียงจะมีแร่ธาตุมากขึ้น ทำให้มีความแข็งและมีลักษณะคล้ายกระดูกมากกว่ากระดูกอ่อน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเริ่มขึ้นตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปี โดยเฉพาะในผู้ชาย ทำให้สายเสียงมีความยืดหยุ่นลดลง

กล้ามเนื้อเสียงที่ช่วยให้เส้นเสียงเคลื่อนไหวได้จะเริ่มเสื่อมสภาพ เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ เอ็นและเนื้อเยื่อที่รองรับเส้นเสียงจะสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้การควบคุมเสียงลดลง

นอกจากนี้ การทำงานของกล้ามเนื้อปอดจะลดประสิทธิภาพลงด้วย ส่งผลให้พลังของอากาศที่ขับออกจากปอดเพื่อสร้างเสียงลดลง รวมถึงจำนวนต่อมที่ผลิตเมือกเพื่อปกป้องเส้นเสียงก็ลดลงเช่นกัน ทำให้ความสามารถในการควบคุมกล่องเสียงลดลงไปด้วย

ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเส้นเสียง

แม้ว่าเส้นเสียงของคนส่วนใหญ่จะเสื่อมสภาพในอัตราที่ใกล้เคียงกัน แต่มีปัจจัยด้านการใช้ชีวิต (lifestyle) หลายประการที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความเสียหายของเส้นเสียงและเปลี่ยนแปลงลักษณะการออกเสียงได้ เช่น:

1. การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะที่ เพิ่มการผลิตเมือก แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้พื้นผิวเยื่อเมือกแห้งได้ แอลกอฮอล์ก็ให้ผลในลักษณะเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายต่อเส้นเสียงและเปลี่ยนแปลงเสียงของคุณได้

2. การใช้ยา

ยาบางชนิดทั้งที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์และยาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์ อาจทำให้เสียงเปลี่ยนไปได้ เช่น:

  • ยาสูดพ่นสเตียรอยด์ที่ใช้รักษาโรคกล่องเสียงอักเสบ (laryngitis)
  • ยาละลายเลือดอาจทำลายเส้นเสียงและทำให้เกิดติ่งเนื้อ (polyp) ส่งผลให้เสียงแหบหรือแห้งได้
  • ยาคลายกล้ามเนื้อก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและความเสียหายของสายเสียงได้ เนื่องจากอาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนเข้าไปในกล่องเสียง

อย่างไรก็ตาม อาการระคายเคืองและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากยาเหล่านี้โดยทั่วไปจะหายไปหลังจากหยุดใช้ยา

3. การใช้เสียงมากเกินไป

ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อเสียงคือการใช้เสียงมากเกินไป ซึ่งพบได้บ่อยในนักร้องและผู้ที่ต้องใช้เสียงมากในการทำงาน เช่น ครูและครูสอนฟิตเนส สิ่งนี้อาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “อาการบวมน้ำของเรนเก้” (Reinke’s edema) ซึ่งทำให้เกิดของเหลวและอาการบวมในเส้นเสียง ส่งผลให้ระดับเสียงเปลี่ยนไป โดยมักจะทำให้เสียงทุ้มลง

ในกรณีที่มีอาการบวมน้ำแบบเรนเก้รุนแรง อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อระบายของเหลวออก แต่ในกรณีส่วนใหญ่ การพักผ่อนและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ระคายเคือง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ มีประโยชน์ในการรักษาอาการ นอกจากนี้ การบำบัดการพูดและภาษาก็สามารถช่วยจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของเสียงได้เช่นกัน

วิธีการดูแลรักษาเส้นเสียง

แม้ว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับสายเสียงตามวัยได้ แต่เราสามารถรักษาคุณภาพและความสามารถของเสียงไว้ได้บ้าง โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  1. ใช้เสียงอย่างสม่ำเสมอ: นักร้องหลายคนมีการเปลี่ยนแปลงของเสียงน้อยกว่าคนทั่วไปเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากใช้เสียงอย่างต่อเนื่อง การร้องเพลงหรืออ่านหนังสือออกเสียงทุกวันสามารถช่วยให้สายเสียงได้ออกกำลังกายเพียงพอที่จะชะลอการเสื่อมลงได้
  2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การรักษาระดับน้ำในร่างกายให้เพียงพอช่วยให้เยื่อเมือกที่ปกคลุมเส้นเสียงชุ่มชื้น ซึ่งเป็นการป้องกันความเสียหายและรักษาคุณภาพเสียง
  3. จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่: แอลกอฮอล์และบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของความเสียหายต่อเส้นเสียง การลดหรือเลิกสิ่งเหล่านี้จะช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเส้นเสียงได้
  4. พักผ่อนเสียงอย่างเพียงพอ: หากคุณใช้เสียงในการทำงานหรือกิจกรรมประจำวันมาก ควรให้เวลาเส้นเสียงได้พักผ่อนบ้าง เพื่อป้องกันการใช้งานมากเกินไป
  5. ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิด: หากเป็นไปได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาที่อาจส่งผลต่อเส้นเสียง โดยเฉพาะหากคุณต้องใช้เสียงในการประกอบอาชีพ

สรุป

เสียงของเราเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเส้นเสียงและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม เราสามารถชะลอการเสื่อมถอยและรักษาคุณภาพเสียงให้ดีได้ยาวนานยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการดูแลส่วนอื่นๆ ของร่างกาย การใส่ใจดูแลเส้นเสียงจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีโดยรวม

บทความนี้เรียบเรียงจากข้อมูลของศาสตราจารย์อดัม เทย์เลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้กายวิภาคศาสตร์ทางคลินิก มหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกบนเดอะ คอนเวอร์เซชัน (The Conversation) และได้รับการเผยแพร่ซ้ำภายใต้ใบอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons)